ประวัติ ของ นิวอัมสเตอร์ดัม (จังหวัดสมุทรปราการ)

ชาวฮอลันดาได้เข้ามาค้าขายกับไทยในสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ พ่อค้าที่มีความดีความชอบกับทางราชการแผ่นดินหลายอย่าง สมเด็จพระเอกาทศรถจึงได้ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณเหนือคลองปลากด ใช้เป็นที่ตั้งคลังสินค้าและเป็นที่อาศัยของเจ้าหน้าที่เป็นสถานที่งดงามและมีเครื่องใช้ที่จําเป็นและทันสมัย จนถึงกับมีการยกย่องในหมู่ชาวฮอลันดาว่าเป็นเมือง "นิวอัมสเตอร์ดัม" (New Amsterdam)[2]

มีบันทึกที่กล่าวถึงนิวอัมสเตอร์ดัมของชาวต่างประเทศหลายรายที่เดินทางเข้ามาตามลำน้ำเจ้าพระยา อย่างเช่น

โยส เซาเตน กล่าวว่า

ค.ศ. 1634 (พ.ศ.2167) ข้าหลวงใหญ่และที่ปรึกษา ทางการค้าของฮอลันดาประจำ อินเดียได้อนุมัติให้ข้าพเจ้า (โยส เซาเตน) จัดสร้างที่พักอาศัยและโกดังสินค้าเป็นตึกทำให้เป็นสถานที่น่าอยู่และสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่งตรงบริเวณฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมและมีทำเลที่ดีที่สุดยิ่งกว่าสถานที่ก่อสร้างอื่น ๆ ทั้งหมดในกรุงศรีอยุธยา

[3]เอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ นายแพทย์ชาวเยอรมัน ซึ่งเข้ามากรุงศรีอยุธยากับคณะทูตฮอลันดาใน พ.ศ. 2223 ในสมัยพระเพทราชา ได้บันทึกถึงช่วงมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ว่า

...ปากแม่น้ำนั้นบานออกเป็นทะเล ในระหว่างที่ดินอันเป็นดอนเตี้ย ๆ ขนาบทั้งสองข้าง ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากกองโคลน ไม่ไกลออกไปเท่าไรนัก เราเห็นรังดินปืนทิ้งอยู่กับปืนใหญ่ทั้งสองฟากแม่น้ำ ตั้งแต่คราวเกิดเหตุยุ่งยากกับฝรั่งเศสที่แล้วมา... ตกเที่ยงเราก็มาถึงหมู่บ้านและโรงสินค้าของเนเธอร์แลนด์ ชื่อ อัมสเตอร์ดัม ตั้งอยู่ห่างปากแม่น้ำมาเกือบ 2 ลีก นายบ้านตำบลนี้ชื่อคอเร เป็นชาวสวีเดนโดยกำเนิด วันที่ 8 มิถุนายน ตอนเช้า ข้าพเจ้าไปเดินเลียบเลาะป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน แต่ไม่ได้ผลอะไรมากนัก ด้วยว่าบริเวณป่านั้นน้ำท่วมเสียเป็นส่วนมาก ส่วนบริเวณที่น้ำมิได้ท่วมก็เป็นที่อยู่ของเสือและสัตว์ร้ายอื่น ๆ...

[4]บันทึกการเดินทางของเรือดีไลต์ โดย กัปตันจอห์น สมิท ในภารกิจของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ซึ่งเดินทางมาจากประเทศจีนว่า

...วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1683 (พ.ศ. 2226) เราได้มาถึงก้นอ่าวสยามและพบแม่น้ำ ได้ส่งนายอับร. นาวาโรขึ้นฝั่งไป...ในตอนเย็นนายนาวาโรได้กลับมายังเรือ และได้นำตัวคนนำร่องชาวฮอลันดาจากสำนักงานของนายท่าที่อยู่ปากแม่น้ำมาด้วย เพื่อนำเรือของเราข้ามสันดอน และได้มาทอดสมอในแม่น้ำประมาณ 1 ลีกเหนือที่ทำการท่าเรือของฮอลันดา ซึ่งเรียกว่า อัมสเตอร์ดัม...

[4]บันทึกของคณะสงฆ์ไทยที่เดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปลังกาทวีปใน พ.ศ. 2294 สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้บันทึกไว้ว่า

...ลงไปถึงเมืองธนบุรีเพลาบ่าย 5 โมงเย็นมีเศษ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น 5 ค่ำ เพลาเช้า กรมการนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปฉัน ณ ศาลากลาง แล้วมาเวียนเทียนสมโภชพระราชสาส์น แล้วลงไปที่ตึกวิลันดา ณ บางปลากด นายกำปั่นได้ทอดสมอบรรทุกฝาง 6 วัน.. ถึงเมืองพระประแดงรุ่งขึ้นวันพุธ เดือนยี่ เวียนเทียนสมโภชพระราชสาส์นแล้ว ออกไปถึงน้ำเขียวปากน้ำบางเจ้าพระยา...

[4]

หลังการเสียกรุงศรีอยุธยา ทั้งเมืองสมุทรปราการและเมืองนิวอัมส์เตอร์ดัมได้ถูกกองทัพพม่าทำลาย จนไม่มีผู้อาศัย ในสมัยกรุงธนบุรีมีการรื้ออิฐจากนิวอัมสเตอร์ดัมที่ถูกทิ้งร้างมาสร้างกรุงธนบุรี อีกทั้งบริเวณนั้นก็เป็นคุ้งน้ำเจ้าพระยาที่ถูกน้ำพุ่งเซาะ ตลิ่งพังลงน้ำไปทุกปี ตึกวิลันดาและนิวอัมสเตอร์ดัมก็คงจมลงไปอยู่ก้นแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด ไม่เหลือร่องรอยไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นแล้ว เฮนรี เบอร์นี ทูตอังกฤษที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้กล่าวว่า ตึกวิลันดาที่บางปลากดได้พังทลายลงน้ำ[5]

จากการสำรวจบ้างก็คาดว่าคงอยู่แถวบริษัทกระจกไทยอาซาฮี ที่ปากคลองบางปลากด[4]